น้ำมันเครื่องรถยนต์[Moter Oil]
1. หน้าที่ ประเภทและชนิดของน้ำมันเครื่อง
หน้าที่ของน้ำมันเครื่อง
- หล่อลื่นชิ้นส่วนที่เคลื่อนที่เพื่อลดการสึกหรอ โดยจะเคลือบชิ้นส่วนต่างๆ เป็นฟิลม์บางๆ เพื่อลดความฝืด
- ระบายความร้อนจากเครื่องยนต์
- ป้องกันความดันในกระบอกสูบไม่ให้รั่วไหลระหว่างแหวนลูกกับผนังกระบอกสูบ
- ทำความสะอาดชิ้นส่วนของเครื่องยนต์
ชนิดของน้ำมันเครื่อง
- น้ำมันเครื่องธรรมชาติ (Mineral Oil) เป็นน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานที่กลั่นจากน้ำมันปิโตรเลียม
- น้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์ (Petroleum Oil or Mineral Oil) ผลิตจากน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐาน ผสมกับ น้ำมันสังเคราะห์ ในอัตราส่วนที่เหมาะสม
- น้ำมันเครื่องสังเคราะห์ (Synthetic Oil) เป็นน้ำมันหล่อลื่นที่ไม่ได้มาจากธรรมชาติ แต่สังเคราะห์ขึ้นด้วยวิธีการทางเคมี
2. มาตรฐานน้ำมันเครื่อง
เพื่อให้เกิดความสะดวกในการเลือกใช้น้ำมันเครื่อง จึงต้องมีการทดสอบคุณสมบัติด้านต่างๆ เช่น ความสามารถในการหล่อลื่น การระบายความร้อน การป้องกันสนิม และการชะล้างทำความสะอาด ฯลฯ จึงมีสถาบันต่างๆ ทั่วโลกได้ทดสอบ และตั้งมาตรฐาน หรือ เกรดคุณภาพของน้ำมันเครื่องขึ้นมา เช่น
- API (AMERICAN PETROLEUM INSTITUTE)
- SAE (SOCIETY OF AUTOMOTIVE ENGINEERS)
- US MILITARY CLASSIFICATION (สถาบันทางทหารของสหรัฐอเมริกา)
- ASTM (AMERICAN SOCIETY FOR TESTING AND MATERIALS)
- CCMC (COMITTEE OF COMMON MARKET CONSTRUCTION)
- ACEA
- Japanese CD
- ฯลฯ
มาตรฐานการวัดน้ำมันเครื่องของสถาบัน API (AMERICAN PETROLEUM INSTITUTE) และ SAE (SOCIETY OF AUTOMOTIVE ENGINEERS) เป็นที่นิยมใช้กันมากที่สุด โดยมาตรฐานนี้จะถูกระบุไว้ในฉลากของกระป๋องน้ำมันเครื่องทุกยี่ห้อ โดย มาตรฐาน API จะบ่งบอกถึง เกรดของน้ำมันเครื่อง และ มาตรฐาน SAE จะบ่งบอกถึง ความหนืดของน้ำมันเครื่อง
2.1 มาตรฐาน API โดยจำแหนกน้ำมันเครื่องออกเป็นสองประเภท คือ น้ำมันเครื่องที่ใช้กับเครื่องยนต์เบนซิน (ใช้ตัวอักษร S นำหน้า) และน้ำมันเครื่องที่ใช้กับเครื่องยนต์ดีเซล (ใช้ตัวอักษร C นำหน้า) ตัวอย่างเช่น
กลุ่มน้ำมันเครื่องสำหรับเครื่องยนต์เบนซิน
- API SA เป็นน้ำมันเครื่องยุคแรกๆ เกรดต่ำมาก ไม่มีจำหน่ายแล้ว
- API SB ไม่มีจำหน่ายแล้ว
- API SC ไม่มีจำหน่ายแล้ว
- API SD ยังมีจำหน่ายอยู่ กระป๋องละร้อยกว่าบาทต่อห้าลิตร
- API SE
- API SF
- API SG
- API SH
- API SJ มีจำหน่ายมากที่สุด
- API SL ปัจจุบันมีจำหน่ายแล้วเป็นบางยี่ห้อ
และมาตรฐานที่สูงขึ้นไปอีกในอนาคต โดย API SA จะมีคุณภาพต่ำที่สุด API SL จะมีคุณภาพสูงที่สุด เรียงตาม ลำดับ ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับว่าเป็นน้ำมันเครื่องประเภทไหนด้วย ตามข้อหนึ่ง โดยข้อแตกต่างของคุณภาพน้ำมันเครื่องแต่ละเกรดนั้น เกิดจากสารเพิ่มคุณภาพ (Additive) ที่ เพิ่มเข้าไปในน้ำมันเครื่อง เช่น สารที่ป้องกันการทำปฎิกิริยากับออกซิเจน, สารป้องกันการเกิดตะกอน โคลนตม ยางเหนียว, สารลดมลพิษ, สารลดการสึกหรอ ปริมาณของสารฟอสฟอรัส, ฯลฯ เป็นต้น
กลุ่มน้ำมันเครื่องสำหรับเครื่องยนต์ดีเซล
- API CA เป็นน้ำมันเครื่องยุคแรกๆ เกรดต่ำมาก ไม่มีจำหน่ายแล้ว
- API CB ไม่มีจำหน่ายแล้ว
- API CC ไม่มีจำหน่ายแล้ว
- API CD ยังมีจำหน่ายอยู่ กระป๋องละร้อยกว่าบาทต่อห้าลิตร
- API CE
- API CF-4 มีจำหน่ายมากที่สุด
- API CG-4
- API CH-4
และมาตรฐานที่สูงขึ้นไปอีกในอนาคต โดย API CA จะมีคุณภาพต่ำที่สุด API CH4 จะมีคุณภาพสูงที่สุด เรียงตาม ลำดับ ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับว่าเป็นน้ำมันเครื่องประเภทไหนด้วย ตามข้อหนึ่ง โดยข้อแตกต่างของคุณภาพน้ำมันเครื่องแต่ละเกรดนั้น เหมือนกับของเครื่องยนต์เบนซิน คือ เกิดจากสารเพิ่มคุณภาพ (Additive) ที่เพิ่มเข้าไปในน้ำมันเครื่อง เช่น สารที่ป้องกันการทำปฎิกิริยากับออกซิเจน, สารป้องกันการเกิดตะกอน โคลนตม ยางเหนียว, สารลดมลพิษ, สารลดการสึกหรอ, ปริมาณของสารฟอสฟอรัส, ฯลฯ เป็นต้น
ทางผู้ผลิตมักจะพิมพ์เกรดของน้ำมันเครื่องตามมาตรฐาน API ไว้ตามฉลากที่ติดอยู่ตามกระป๋องของน้ำมันเครื่อง ตัวอย่างเช่น
- API CF-4/SG หมายถึงถ้าใช้กับเครื่องยนต์ดีเซลจะอยู่ที่เกรด CF-4 ถ้าใช้กับเครื่องยนต์เบนซิน จะอยู่ที่เกรด SG โดยนำเอาอักษร API ตัวแรกเป็นตัวบ่งบอกว่าใช้กับน้ำมันเครื่องเบ็นซินหรือดีเซล ในกรณีนี้คือ ใช้กับเครื่องยนต์ ดีเซล (แต่เครื่องยนต์เบนซินก็ใช้ได้เช่นกัน)
- API SJ/CF หมายถึง ใช้กับเครื่องยนต์เบนซิน (เครื่องยนต์ดีเซลก็สามารถใช้ได้เช่นกัน)
2.2 มาตรฐาน SAE โดยแบ่งตามความหนืด และแยกเป็นสองกลุ่มคือ น้ำมันเครื่องเกรดเดี่ยว และน้ำมันเครื่องเกรดรวม
- น้ำมันเครื่องเกรดเดี่ยว (single- grade) เช่น SAE40, SAE50 เป็นต้น โดยความหนืดของน้ำมัน เครื่องจะมีค่าเดียว ปัจจุบันมีแต่น้ำมันเครื่อง API ระดับต่ำๆ เท่านั้นที่มี SAE เป็นเกรดเดี่ยว
- น้ำมันเครื่องเกรดรวม (multi-grade) เช่น SAE 15W50 หรือ SAE 15W-50 โดยการทดสอบที่ อุณหภูมิต่ำ(-18 องศาเซลเซียส หรือ 0 องศาฟาเรนไฮต์) และอุณหภูมิสูง (100 องศาเซลเซียส หรือ 210 องศาฟาเรนไฮต์) โดยมี W (winter หรือ อากาศเย็น) เป็นตัวคั่นกลางและอาจจะมี เครื่องหมาย – ตามหลัง W ในที่นี้คือ ที่อุณหภูมิต่ำ น้ำมันเครื่องมีความหนืดที่ 15 และที่อุณหภูมิสูง น้ำมันเครื่องมีความหนืดที่ 50
สาเหตุที่น้ำมันเครื่องเกรดรวม ดีกว่าเกรดเดี่ยวเพราะว่า ความหนืดสามารถเปลี่ยนค่าได้ตามอุณหภูมิ หมายความว่า ที่อุณหภูมิต่ำ (เมืองไทยไม่ค่อยมีผลเพราะอากาศร้อน) ความหนืดน้ำมันเครื่องจะต่ำ นั่นคือน้ำมันเครื่องจะใส ทำให้น้ำมันเครื่องไปหล่อเลี้ยวเครื่องยนต์ได้รวดเร็ว เมื่อเริ่มสตาร์ท เครื่องใหม่ เกิดการสึกหรอของเครื่องยนต์น้อย แต่เมื่ออุณหภูมิสูงขึ้นความหนืดจะเพิ่มขึ้น
3. การเลือกใช้น้ำมันเครื่อง และอายุการใช้งาน
3.1 เลือกตามประเภทของเครื่องยนต์
- เครื่องยนต์เบ็นซิน มาตรฐาน API จะขึ้นต้นด้วยอักษร S เช่น SJ/CF
โดยมากแล้วน้ำมันเครื่องสำหรับเครื่องยนต์เบ็นซิน จะบรรจุกระป๋องละ 4 ลิตร - เครื่องยนต์ดีเซล มาตรฐาน API จะขึ้นต้นด้วยอักษร C เช่น CF-4/SG
โดยมากแล้วน้ำมันเครื่องสำหรับเครื่องดีเซลจะบรรจุกระป๋องละ 5 ลิตร
3.2 เลือกตามระยะทางการใช้งาน, เกรดของน้ำมันเครื่อง และความหนืด ตามความเหมาะสม
- น้ำมันเครื่องธรรมชาติ เกรดต่ำ เช่น SAE 40, API CC/SD (ระยะทางใช้งาน ประมาณ 3,000 กิโลเมตร)
- น้ำมันเครื่องธรรมชาติ เกรดสูง เช่น SAE 20W-50, API CF-4/SG (ระยะทางใช้งาน ประมาณ 5,000 กิโลเมตร)
- น้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์ เช่น SAE 15W50, API SJ/CF (ระยะทางใช้งาน ประมาณ 5,000-8,000 กิโลเมตร)
- น้ำมันเครื่องสังเคราะห์ (ระยะทางใช้งาน ประมาณ 10,000 กิโลเมตร)
3.3 เลือกตามปริมาณที่ต้องการใช้
- รถเก๋ง โดยทั่วไปใช้น้ำมันเครื่อง ประมาณ 4 ลิตร (รถยุโรป ใช้ประมาณ 6 ลิตร)
- รถกะบะ โตโยต้า, นิสสัน, มิตซูบิชิ ใช้น้ำมันเครื่อง ประมาณ 6 ลิตร
- รถกะบะ อีซูซุ, มาสด้า, ฟอร์ด ใช้น้ำมันเครื่อง ประมาณ 5 ลิตร
Engine Oil Additive
[youtube=https://www.youtube.com/watch?v=MQHBNgCgqcE]