แบตเตอรี่รถยนต์ [Car Battery]

เปลี่ยนแบตเตอรี่รถยนต์

แบตเตอรี่


แบตเตอรี่ มีหน้าที่เก็บกระแสไฟฟ้าไว้ในรูปแบบของพลังงานเคมี ไว้จ่ายให้กับอุปกรณ์ต่างๆ ในรถยนต์ กระแสไฟในแบตเตอรี่จะถูกเติมโดยอุปกรณ์ที่เรียกว่าไดชาร์ท หรืออัลเตอร์เนเตอร์

ในขณะที่เครื่องยนต์ยังไม่ทำงานนั้น กระแสไฟฟ้าที่ใช้ในรถยนต์จะถูกดึงจากแบตเตอรี่ที่เดียว แต่เมื่อเครื่องยนต์ทำงาน กระแสไฟฟ้าที่นำมาใช้จะถูกดึงจากไดชาร์ทแทน ถ้าไดชาร์ทผลิตกระแสไฟออกมาไม่เพียงพออุปกรณ์ไฟฟ้าในรถยนต์ก็จะดึงกระแสไฟ จากแบตเตอรี่มาใช้งานด้วย

แบตเตอรี่มีหน้าที่ต้องจ่ายพลังงานไฟฟ้าให้กับอุปกรณ์ต่างๆ ดังนี้

  1. ช่วยให้มอเตอร์สตาร์ททำงาน
  2. ช่วยสร้างประกายไฟที่หัวเทียน เพื่อใช้ในการจุดระเบิด (เครื่องยนต์เบ็นซิน)
  3. จ่ายไฟให้กับอุปกรณ์แสงสว่างต่างๆ เช่น หลอดไฟ
  4. จ่ายไฟให้กับอุปกรณ์ไฟฟ้าอื่นฯ เช่น รีเลย์ กล่องสมองกล

การตรวจเช็คและข้อสังเกตุ

  1. แบตเตอรี่ลูกใหม่ จะต้องเติมน้ำกรดเป็นครั้งแรก
  2. เมื่อน้ำกรดในแบตเตอรี่แห้งลง จะต้องเติมด้วยน้ำกลั่นเท่านั้น
  3. ระดับน้ำกรดจะต้องอยู่ระหว่างขีดบนและขีดล่างของแบตเตอรี่
  4. ต้องเปิดฝาแบตเตอรี่ออกตรวจเช็คและเติมทุกช่อง เพราะแต่ละช่องไม่ถึงกัน
  5. ฝาจุกปิดจะมีรูหายใจ ให้ตรวจเช็คด้วยว่าไม่ได้อุดตัน ถ้าอุดตันแบตเตอรี่เกิดระเบิดขึ้นได้
  6. ห้ามนำประกายไฟเข้าใกล้เป็นอันขาด (แบตเตอรี่อาจระเบิดได้ เพราะมีแก็ส)
  7. ที่ขั้วบวกของแบตเตอรี่จะต้องมีฉนวนหุ้มด้วย ป้องกันขั้วแบตเตอรี่ชนกับฝากระโปรงรถ เป็นเหตุให้แบตเตอรี่ได้รับความเสียหาย
  8. ขั้วบวกของแบตเตอรี่จะใหญ่กว่าขั้วลบเสมอ (ป้องกันความผิดพลาดในการใส่)
  9. ห้ามต่อกระแสไฟจากแบตเตอรี่ไปใช้โดยตรง โดยไม่ผ่านฟิวส์เป็นอันขาด (ไฟอาจไหม้รถท่านได้)
  10. น้ำกรดในแบตเตอรี่ มีสภาพเป็นกรด ระมัดระวังอย่าให้ถูกเสื้อผ้า ถ้ากระเด็นใส่ให้รีบนำไปซักทันที

การเลือกซื้อน้ำกลั่น

  1. เลือกซื้อน้ำกลั่นที่มีชื่อที่อยู่ของบริษัทผู้ผลิตพิมพ์บนบรรจุภัณฑ์ อย่างถูกต้อง
  2. ปัจจุบันนี้มีน้ำกลั่นวางจำหน่ายในท้องตลาดอยู่สองแบบ คือ
    1. น้ำกลั่นธรรมดา
    2. น้ำกลั่นที่เติมน้ำยาเคมีอีเลคโตรไลท์ชนิดไม่มีกรด ซึ่งมีคุณสมบัติดีกว่าน้ำกลั่นธรรมดา คือ
      1. เคลือบประสานแผ่นธาตุ ป้องกันการผุกกร่อน
      2. ยืดอายุและช่วยให้แบตเตอรี่ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
      3. ช่วยให้น้ำกรดแห้งช้าลง